แขวงบางขุนศรี แซนวิช พียู โฟม หลังคา แขวงบางขุนศรี แซนว […]
Category Archives: แขวงบางขุนศรี
แขวงบางขุนศรี
แขวงบางขุนศรี is the position for activity in post to presented 1st rank on Google page search by focus keyphrase name in category.
เขตบางกอกน้อย
เขตบางกอกน้อย
|
|
---|---|
คำขวัญ: สมเด็จโตวัดระฆัง วังหลังตั้งอยู่ อู่เรือพระราชพิธี สถานีรถไฟ คลองใหญ่มีชื่อ เลื่องลือเครื่องลงหิน นามระบิลช่างหล่อ งามลออวัดวา |
|
พิกัดภูมิศาสตร์: 13°46′15.12″N 100°28′04.56″E | |
อักษรไทย | เขตบางกอกน้อย |
อักษรโรมัน | Khet Bangkok Noi |
พื้นที่ | |
• ทั้งหมด | 11.944 ตร.กม. (4.612 ตร.ไมล์) |
ประชากร (2561) | |
• ทั้งหมด | 110,417[1] |
• ความหนาแน่น | 9,244.55 คน/ตร.กม. (23,943.3 คน/ตร.ไมล์) |
รหัสไปรษณีย์ | 10700 |
รหัสภูมิศาสตร์ | 1020 |
ที่อยู่ สำนักงาน |
เลขที่ 9/99 ถนนบางขุนนนท์ แขวงบางขุนนนท์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700 |
เว็บไซต์ | http://www.bangkok.go.th/bangkoknoi |
เขตบางกอกน้อย เป็นหนึ่งในห้าสิบเขตของกรุงเทพมหานคร ถือเป็นเขตอนุรักษ์เมืองเก่า แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรมทางฝั่งธนบุรี โดยมีคำขวัญประจำเขตว่า “สมเด็จโตวัดระฆัง วังหลังตั้งอยู่ อู่เรือพระราชพิธี สถานีรถไฟ คลองใหญ่มีชื่อ เลื่องลือเครื่องลงหิน นามระบิลช่างหล่อ งามลออวัดวา”
เนื้อหา
ที่ตั้งและอาณาเขต[แก้]
ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกค่อนไปทางเหนือของฝั่งธนบุรี มีอาณาเขตติดต่อกับเขตต่าง ๆ เรียงตามเข็มนาฬิกา ดังนี้
- ทิศเหนือ ติดต่อกับเขตบางพลัด มีถนนบรมราชชนนีและถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้าเป็นเส้นแบ่งเขต
- ทิศตะวันออก ติดต่อกับเขตพระนคร มีแนวกึ่งกลางแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นเส้นแบ่งเขต
- ทิศใต้ ติดต่อกับเขตบางกอกใหญ่ มีคลองมอญเป็นเส้นแบ่งเขต
- ทิศตะวันตก ติดต่อกับเขตตลิ่งชัน มีคลองบางขุนศรี คลองชักพระ และคลองบางกอกน้อยเป็นเส้นแบ่งเขต
ประวัติศาสตร์[แก้]
เขตบางกอกน้อยเดิมมีชื่อเรียกว่า อำเภออมรินทร์ เป็นอำเภอที่ 21 ใน 25 อำเภอชั้นในของพระนครตามประกาศกระทรวงนครบาลในปี พ.ศ. 2458
จากนั้นในปี พ.ศ. 2459 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนชื่ออำเภออมรินทร์เป็น อำเภอบางกอกน้อย (พร้อมกับเปลี่ยนชื่ออำเภอหงสารามเป็นอำเภอบางกอกใหญ่ เปลี่ยนชื่ออำเภอราชคฤห์เป็นอำเภอบางยี่เรือ และเปลี่ยนชื่ออำเภอบุปผารามเป็นอำเภอคลองสาน) เนื่องจากชื่อเดิมยังไม่เหมาะสมกับตำบลที่ตั้งอันเป็นหลักฐานโบราณ ในขณะนั้นอำเภอบางกอกน้อยมีเขตปกครอง 8 ตำบล คือ ตำบลบางอ้อ ตำบลบางพลัด ตำบลบางบำหรุ ตำบลบางยี่ขัน ตำบลบางขุนนนท์ ตำบลบางขุนศรี ตำบลศิริราช และตำบลบ้านช่างหล่อ
ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2515 ได้มีประกาศคณะปฏิวัติ ยกเลิกหน่วยการปกครองจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล ในเขตจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีเป็นหน่วยการปกครองเดียว คือ “กรุงเทพมหานคร” ซึ่งได้เปลี่ยนคำว่าอำเภอเป็น “เขต” และตำบลเป็น “แขวง” ดังนั้น อำเภอบางกอกน้อยจึงได้รับการเปลี่ยนแปลงฐานะเป็น เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
ในปี พ.ศ. 2532 กระทรวงมหาดไทยได้ประกาศเปลี่ยนแปลงพื้นที่เขตบางกอกน้อย โดยแบ่งพื้นที่แขวงบางพลัด แขวงบางอ้อ แขวงบางยี่ขัน และแขวงบางบำหรุ ไปจัดตั้งเป็นเขตบางพลัด เพื่อให้หน่วยงานราชการดูแลปกครองพื้นที่ได้สะดวกขึ้น
และได้มีประกาศกระทรวงมหาดไทยอีกครั้งในปี พ.ศ. 2534 ตัดพื้นที่เขตบางพลัดเฉพาะฝั่งใต้ถนนบรมราชชนนีและถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า กลับมาเป็นพื้นที่ของเขตบางกอกน้อย และได้รับการจัดตั้งเป็นแขวงอรุณอมรินทร์
การแบ่งเขตการปกครอง[แก้]
เขตบางกอกน้อยแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 5 แขวง ได้แก่
อักษรไทย | อักษรโรมัน | พื้นที่ (ตร.กม.) |
จำนวนประชากร (ธันวาคม 2561) |
จำนวนบ้าน (ธันวาคม 2561) |
ความหนาแน่น (ธันวาคม 2561) |
---|---|---|---|---|---|
ศิริราช | Siri Rat |
1.258
|
16,817
|
4,335
|
13,368.04
|
บ้านช่างหล่อ | Ban Chang Lo |
2.076
|
31,557
|
12,087
|
15,200.86
|
บางขุนนนท์ | Bang Khun Non |
1.492
|
9,549
|
4,436
|
6,400.13
|
บางขุนศรี | Bang Khun Si |
4.360
|
32,328
|
14,691
|
7,414.67
|
อรุณอมรินทร์ | Arun Ammarin |
2.758
|
20,166
|
13,562
|
7,311.82
|
ทั้งหมด |
11.944
|
110,417
|
49,111
|
9,244.55
|
ประชากร[แก้]
[แสดง]สถิติประชากรตามทะเบียนราษฎร เขตบางกอกน้อย[2] |
---|
การคมนาคม[แก้]
ถนนสายหลักในพื้นที่เขตบางกอกน้อย ได้แก่
- ถนนจรัญสนิทวงศ์
- ถนนพรานนก
- ถนนวังหลัง
- ถนนอิสรภาพ
- ถนนอรุณอมรินทร์
- ถนนสมเด็จพระปิ่นเกล้า
- ถนนบรมราชชนนี
- ถนนบางขุนนนท์
- ถนนพรานนก-พุทธมณฑล สาย 4
ส่วนทางสายรองและทางลัด ได้แก่
- ถนนสุทธาวาส
- ถนนรถไฟ
- ถนนเลียบทางรถไฟสายใต้
- ถนนรุ่งประชา
- ซอยจรัญสนิทวงศ์ 22 (ราษฎร์ศรัทธา) และซอยอิสรภาพ 37
- ซอยจรัญสนิทวงศ์ 28 / ซอยอิสรภาพ 39 (วัดดงมูลเหล็ก)
- ซอยจรัญสนิทวงศ์ 35 (วัดมะลิ)
- ซอยอิสรภาพ 44 (แสงศึกษา)
สะพาน[แก้]
- สะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เชื่อมระหว่างเขตบางกอกน้อยกับเขตพระนคร
ทางน้ำ[แก้]
- แม่น้ำเจ้าพระยา
- คลองบางกอกน้อย
- คลองชักพระ
- คลองมอญ
สถานที่สำคัญ[แก้]
- สถาบันวิมุตตยาลัย
- วัดระฆังโฆสิตาราม
- วัดอมรินทราราม
- วัดสุวรรณาราม
- วัดชิโนรสารามวรวิหาร
- โรงเรียนชิโนรสวิทยาลัย
- โรงเรียนสตรีวัดระฆัง
- โรงเรียนโฆสิตสโมสร
- โรงเรียนสวนอนันต์
- พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เรือพระราชพิธี
- มหาวิทยาลัยมหิดล (บางกอกน้อย)
- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
- โรงเรียนกายอุปกรณ์สิรินธร คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
- คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล
- โรงพยาบาลศิริราช
- โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
- โรงพยาบาลธนบุรี
- ท่าช้างวังหลัง (ท่าน้ำศิริราช)
- สามแยกไฟฉาย
- สี่แยกศิริราช
- สะพานอรุณอมรินทร์
- สถานีรถไฟธนบุรี
- ตลาดพรานนก
- ตลาดศาลาน้ำร้อน
- ตลาดศาลาน้ำเย็น
- ตลาดบางขุนศรี
- ฐานทัพเรือกรุงเทพ
- วังนันทอุทยาน
- กรมอู่ทหารเรือ
- กองดุริยางค์ทหารเรือ
- สโมสรทหารเรือ
- ภัทราวดีเธียเตอร์
- ชุมชนบ้านช่างหล่อ
เหตุการณ์สำคัญ[แก้]
เช้าวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2538 ผู้โดยสารหลายร้อยคนยืนรอเรือด่วนบนโป๊ะเทียบเรือที่ท่าพรานนก ซึ่งเป็นโป๊ะที่ใช้แทงก์ขนาดใหญ่ทำเป็นทุ่นลอยน้ำ มีแผ่นเหล็กเป็นพื้นรองรับ แต่เมื่อผู้โดยสารแย่งกันขึ้นเรือจนผู้โดยสารบางคนตกน้ำและเกิดการมุง ประกอบกับเรือได้กระแทกที่โป๊ะ ทำให้ตัวโป๊ะจมลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา ประมาณ 10 นาทีหลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่กู้ภัยและทีมแพทย์ได้เข้าช่วยเหลือ และค้นหาผู้ประสบเหตุ พบผู้เสียชีวิตที่ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็กนักเรียนติดอยู่ใต้ตัวโป๊ะที่มีหลังคาคลุม บางส่วนถูกกระแสไฟฟ้าที่รั่วจากหลังคาโป๊ะดูด จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต 29 ราย
หลังเกิดเหตุการณ์ ได้มีการปรับปรุงโป๊ะตามท่าเรือเจ้าพระยาต่าง ๆ และมีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น ทางด้านญาติผู้เสียชีวิตได้ยื่นฟ้องบริษัท สุภัทรา จำกัด, บริษัทเรือด่วนเจ้าพระยา, กรุงเทพมหานครและกรมเจ้าท่า โดยบริษัทเอกชนได้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวนหนึ่งจนมีการถอนฟ้อง ในศาลชั้นต้นมีคำพิพากษายกฟ้องกรมเจ้าท่า ต่อมาในวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ศาลฎีกามีคำพิพากษาให้กรุงเทพมหานครต้องชดใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 12 คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 12,616,241 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ฟ้องเมื่อ พ.ศ. 2539 ซึ่งเมื่อรวมดอกเบี้ยแล้วเป็นเงินกว่า 30 ล้านบาท โดยศาลให้เหตุผลว่ากรุงเทพมหานครกระทำการโดยประมาทจนทำให้เกิดอุบัติเหตุดังกล่าว